สุขภาพ

ตุลาคม 18, 2024
โรคภูมิแพ้-ทางเดินหายใจ

โรคภูมิแพ้ รู้เท่าทัน สามารถดูแลรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้นได้

โรคภูมิแพ้ (Allergy) คือภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสารบางชนิดที่ปกติไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป แต่ในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะมองว่าสารเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมและพยายามต่อสู้กับมัน โดยสารที่ทำให้เกิดการแพ้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะหลั่งสารเคมี ฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการคัน น้ำมูกไหล จาม หรือมีอาการที่รุนแรงกว่านั้นหากไม่ได้รับการรักษาภูมิแพ้ที่เหมาะสม อาทิ หายใจลำบาก หรือภาวะภูมิแพ้รุนแรง (Anaphylaxis)  อาการของโรคภูมิแพ้ ที่ร่างกายตอบสนองจนสังเกตได้ อาการภูมิแพ้ในระบบหายใจ ผู้ที่ต้องการรักษาภูมิแพ้ ต้องทราบก่อนว่าตนมีอาการภูมิแพ้ในระบบหายใจรูปแบบใดบ้าง เริ่มตั้งแต่การคันจมูกและคัดจมูก น้ำมูกไหล อาการจามบ่อย ๆ มักเกิดเป็นชุดต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หายใจไม่สะดวก อันเกิดจากการอักเสบและบวมของเยื่อบุจมูกหรือหลอดลม ทำให้หายใจลำบาก อาจมีอาการหายใจเสียงหวีด Wheezing soud หรือหอบร่วมด้วย (ในกรณีของโรคหืด) และอาการไอเรื้อรัง เกิดจากการระคายเคืองในทางเดินหายใจส่วนล่าง อาการนี้มักเกิดขึ้นในช่วงกลางคืนหรือหลังออกกำลังกาย อาการภูมิแพ้ในระบบทางเดินอาหาร ภูมิแพ้ในระบบทางเดินอาหารมักเกิดจากการแพ้อาหาร ในกลุ่มนมวัว ถั่ว ไข่ และอาหารทะเล โดยผู้ที่ไม่ได้ทานยาแก้แพ้ (Antihistamine) อาการที่เกิดขึ้นมักแสดงภายในไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารที่แพ้ อาการที่สังเกตได้ มีตั้งแต่อาการคลื่นไส้และอาเจียน โดยระบบทางเดินอาหารตอบสนองต่อการระคายเคืองและพยายามขับอาหารออกจากร่างกาย อาการปวดท้องและท้องเสีย อาการบวมในช่องปากหรือลำคอ ในบางกรณีจะมีอาการบวมที่ลิ้น ริมฝีปาก หรือลำคอ ซึ่งเป็นอาการแพ้ที่รุนแรง ทำให้หายใจไม่ออก ต้องได้รับการรักษาภูมิแพ้อย่างเร่งด่วน อาการภูมิแพ้ในผิวหนัง ภูมิแพ้ในผิวหนังเกิดขึ้นจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง โลหะ ฝุ่น หรืออาหาร โดยผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ หากไม่ได้ยาแก้แพ้ (Antihistamine) ที่เหมาะสม ผิวหนังจะมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ ผื่นแดงแห้งคันขึ้นในบริเวณที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ มักเกิดบริเวณใบหน้า ข้อพับแขน ข้อพับขา คอ หรือมีอาการบวมเฉพาะจุด รวมถึงผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการลมพิษร่วมด้วย อาการภูมิแพ้ในระบบอื่น ๆ บางครั้งอาการภูมิแพ้อาจส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการแพ้ที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกัน โดยอาการที่สังเกตได้ มีตั้งแต่การบวมของลำคอหรือทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบากหรือไม่สามารถหายใจได้ ความดันโลหิตต่ำ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการหน้ามืด วิงเวียน หรือบางรายอาจถึงขั้นช็อก หมดสติ หรืออาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) แพ้รุนแรงอาการนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาภูมิแพ้อย่างเร่งด่วนด้วยการฉีดอะดรีนาลีน หรือ อีพิเพ็น (adrenaline / epipen) และรีบไปพบแพทย์ สาเหตุของการเกิดโรคภูมิแพ้ เกิดจากกรรมพันธุ์ หากในครอบครัวมีประวัติของการแพ้สารบางชนิดหรือเป็นโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหืด ผื่นภูมิแพ้ หรือโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ ลูกหลานจะมีโอกาสเกิดภูมิแพ้ได้สูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากพันธุกรรมมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีการตอบสนองที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ โดยถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสที่ลูกจะเป็นภูมิแพ้อยู่ที่ประมาณ 30 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ โอกาสที่ลูกหลานจะเป็นภูมิแพ้มากขึ้น 50 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ และรวมถึงการเลือกวิธีรักษาภูมิแพ้ด้วย แม้ว่าจะไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว การสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นสารก่อภูมิแพ้หรือมลพิษในระยะยาวก็สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ได้ สารก่อภูมิแพ้ที่พบในสิ่งแวดล้อมประกอบไปด้วย ฝุ่นละออง ไรฝุ่น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เชื้อราในอากาศ ควันจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม หรือควันบุหรี่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง ยาฆ่าแมลง อาหารบางชนิด อย่างถั่ว นมวัว อาหารทะเล หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความชื้น หรือลม ก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาภูมิแพ้ที่เหมาะสม ก่อนรักษาภูมิแพ้ ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด การรักษาภูมิแพ้มีขั้นตอนที่สำคัญมากในการระบุสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดอาการ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยวิธีการตรวจสอบมีหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้ การตรวจทดสอบภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง (Skin Prick Test): เป็นการตรวจที่ใช้เข็มเล็กๆ สะกิดผิวหนัง เพื่อให้สารก่อภูมิแพ้ที่ทำการทดสอบเข้ามาในร่างกาย ถ้าคุณแพ้สารนั้นจะเกิดอาการบวมแดงขึ้นในบริเวณที่ทดสอบ ซึ่งช่วยให้แพทย์รู้ว่าคุณแพ้สารก่อให้เกิดภูมิแพ้ชนิดใด และรักษาภูมิแพ้ได้กับสาเหตุที่แพ้ได้ การตรวจภูมิแพ้ด้วยการเจาะเลือด (Allergy Blood Test): วิธีนี้จะวิเคราะห์เลือด เพื่อตรวจหาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ โดยมักจะดูระดับของแอนติบอดี IgE ซึ่งสามารถบอกได้ว่าคุณมีแนวโน้มที่จะแพ้สารใด การทดสอบการแพ้อาหารโดยรับประทานอาหารที่สงสัย (Oral Food Challenge Test): วิธีนี้เป็นการทดสอบที่ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่สงสัยว่าจะทำให้เกิดอาการแพ้ โดยจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อสังเกตอาการที่เกิดขึ้น หากมีอาการแพ้เกิดขึ้นจะสามารถระบุได้ว่าอาหารนั้นคือสารก่อภูมิแพ้ วิธีการรักษาภูมิแพ้ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เป็นวิธีการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและรักษาภูมิแพ้ ซึ่งสามารถทำได้ตามประเภทของสารที่ก่อให้เกิดอาการ ฝุ่นละอองและไรฝุ่น: รักษาความสะอาดบ้าน ซักผ้าปูที่นอนและหมอนบ่อย ๆ ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีตัวกรองประสิทธิภาพสูง (HEPA) และลดการใช้พรมในบ้าน เกสรดอกไม้: หลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอกในช่วงที่เกสรดอกไม้สูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อน และปิดหน้าต่าง เพื่อป้องกันเกสรดอกไม้เข้าบ้าน ขนสัตว์: หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หมั่นทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงและบริเวณที่สัตว์อยู่เป็นประจำ อาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ไม่ว่าจะเป็นถั่ว นม ไข่ และอาหารทะเล โดยการตรวจสอบฉลากอาหารทุกครั้งก่อนรับประทาน มลพิษทางอากาศ: หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง เช่น ควันบุหรี่ ควันจากยานพาหนะ หรือสารเคมีในอากาศ การใช้ยารักษาภูมิแพ้ ยารักษาภูมิแพ้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้บรรเทาอาการและรักษาภูมิแพ้ โดยยาที่นิยมใช้ในการรักษาภูมิแพ้ ได้แก่ ยาแก้แพ้ (Antihistamines): ยานี้ช่วยบรรเทาอาการจากการแพ้ ทั้งอาการคัน จาม น้ำมูกไหล และผื่น ยาแก้แพ้รุ่นใหม่มักไม่ทำให้ง่วงนอน เช่น ลอราทาดีน (Loratadine) หรือเซทิริซีน (Cetirizine) ยาลดการอักเสบในจมูก (Intranasal Corticosteroids): ยาพ่นจมูกประเภทสเตียรอยด์ เช่น ฟลูติคาโซน (Fluticasone) ช่วยลดการอักเสบในโพรงจมูกและช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ยาควบคุมโรคหืด (Bronchodilators): สำหรับผู้ที่เป็นโรคหืดร่วมกับโรคภูมิแพ้ สามารถใช้ยาขยายหลอดลม เพื่อช่วยในการบรรเทาและรักษาภูมิแพ้ได้ เช่น ยาซาลบูทามอล (Salbutamol) ที่ช่วยลดการหดตัวของหลอดลมและบรรเทาอาการหายใจไม่สะดวก ยาสเตียรอยด์ทาผิวหนัง: ใช้สำหรับผื่นภูมิแพ้หรือผื่นลมพิษ ยาสเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบและอาการคันที่ผิวหนัง การฉีดวัคซีนรักษาภูมิแพ้ การฉีดวัคซีนรักษาภูมิแพ้เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้ร่างกายปรับตัวต่อสารก่อภูมิแพ้ได้ โดยการค่อย ๆ ฉีดสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณเล็กน้อยเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันค่อย ๆ ปรับตัวและลดการตอบสนองที่รุนแรงลง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้รุนแรงและไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยารักษาโรคภูมิแพ้ และผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ได้ รักษาภูมิแพ้ร่วมด้วยการรักษาโรคร่วมอื่น ๆ ในบางกรณี การรักษาภูมิแพ้ต้องทำควบคู่กับการรักษาโรคอื่น ๆ ที่เกิดร่วมกัน เนื่องจากโรคเหล่านี้อาจส่งผลให้อาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น โรคหืด: ผู้ที่เป็นโรคหืดและภูมิแพ้มักจะต้องใช้ยาควบคุมอาการหืดอย่างต่อเนื่อง เช่น ยาขยายหลอดลมหรือยาสเตียรอยด์ โรคไซนัสอักเสบ: อาการคัดจมูกจากภูมิแพ้สามารถทำให้เกิดไซนัสอักเสบเรื้อรังได้ ดังนั้นจึงต้องรักษาภูมิแพ้ควบคู่ไปกับโรคไซนัสด้วย โรคผิวหนังอักเสบ: ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังหรือโรคผิวหนังอักเสบต้องได้รับการรักษาด้วยยาทาผิวหนังและการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ การติดเชื้อทางเดินหายใจ: หากมีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ หรือหูน้ำหนวก ควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาต้านการอักเสบควบคู่กับการรักษาภูมิแพ้ รักษาภูมิแพ้ให้อาการดีขึ้นได้ เมื่อดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม การดูแลรักษาภูมิแพ้ให้มีอาการดีขึ้นสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการแพ้ แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรงขึ้น โดยวิธีการดูแลรักษาสุขภาพที่เหมาะสม มีดังนี้ พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูจากอาการแพ้ได้ดีขึ้น ผู้ที่ต้องการดูแลรักษาภูมิแพ้ จึงควรนอนหลับอย่างน้อย 7 ถึง 9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตควรนอนหลับให้เพียงพอตามช่วงอายุ เนื่องจากหากนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและทำให้ภูมิแพ้กำเริบง่ายขึ้น อยู่ในสภาพแวดล้อมอุณหภูมิที่เหมาะสม ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ในระบบหายใจและต้องการรักษาภูมิแพ้ให้ดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง หรืออากาศแห้งเกินไป เพราะอาจทำให้เยื่อบุจมูกหรือทางเดินหายใจแห้ง ซึ่งส่งผลให้อาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การรับประทานที่เหมาะสม เป็นวิธีการดูแลรักษาภูมิแพ้ที่สามารถเริ่มต้นปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามิน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับภูมิแพ้ได้ดีขึ้น เน้นการรับประทานผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง และกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลาทะเล เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยลดการอักเสบและอาการแพ้ รวมถึงการดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น และช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดีขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของปอดและหัวใจ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบทางเดินหายใจมีความแข็งแรง ลดโอกาสการเกิดโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจได้ดี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการรักษาภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสถานที่ที่มีมลพิษทางอากาศหรือในวันที่มีเกสรดอกไม้สูง เพราะอาจกระตุ้นอาการแพ้ได้ รักษาภูมิแพ้โดยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีรักษาภูมิแพ้ง่ายๆ ที่ช่วยลดการสะสมของสารก่อภูมิแพ้ในโพรงจมูก และลดอาการอักเสบและน้ำมูกไหลจากโรคภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากน้ำเกลือจะช่วยล้างสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และสารก่อภูมิแพ้ออกจากโพรงจมูก ทำให้ทางเดินหายใจโล่งและลดอาการระคายเคือง   ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.bangkokhospital.com/content/prevent-and-cure-allergic-rhinitis
อ่านเพิ่มเติม
ตุลาคม 18, 2024
ภูมิแพ้เด็ก-รักษาภูมิแพ้เด็ก

ภูมิแพ้เด็ก อาการที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต้องรู้

ภูมิแพ้เด็กหรือโรคภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในเด็ก หมายถึง ปฏิกิริยาผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของเด็กที่ตอบสนองต่อสารบางชนิดที่ปกติไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารเหล่านี้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) เมื่อเด็กที่มีภาวะภูมิแพ้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ตามมา ซึ่งอาการแพ้สามารถเกิดขึ้นที่ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ ทางผิวหนัง หรือระบบลำไส้ โดยทั่วไปแล้ว อาการแพ้มักเกิดขึ้นในวัยเด็กและอาจดำเนินไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้เด็ก ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงที่เด็กจะมีอาการภูมิแพ้ หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติการแพ้ เด็กจะมีโอกาสสูงขึ้นที่จะเป็นภูมิแพ้เด็กด้วย โดยปัจจัยพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ประวัติภูมิแพ้ครอบครัวในปัจจัยทางด้านพันธุกรรม: หากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีอาการภูมิแพ้ เด็กจะมีโอกาสประมาณ 20 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเป็นภูมิแพ้เด็ก แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่มีอาการภูมิแพ้ ความเสี่ยงของเด็กจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 50 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ การส่งต่อชนิดโรคภูมิแพ้มาจากปัจจัยด้านพันธุกรรม: ประเภทของภูมิแพ้ที่ของปัจจัยด้านพันธุกรรมอาจส่งผลต่อชนิดของโรคภูมิแพ้ที่เด็กจะเป็น เช่น หากพ่อแม่เป็นโรคหืด หรือโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ เด็กมีโอกาสสูงที่จะเป็นมีอาการภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้เช่นกัน ยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน: การตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดผ่านยีน ยีนที่ควบคุมการผลิต IgE ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภูมิแพ้ ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกได้เช่นกัน ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม แม้ว่าปัจจัยทางพันธุกรรมจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นหรือทำให้เกิดอาการภูมิแพ้เด็กได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในกรณีที่เด็กมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมอยู่แล้ว ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อภูมิแพ้เด็ก ได้แก่ มลพิษในอากาศ: การอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง เช่น ควันบุหรี่ ควันจากรถยนต์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหืด ฝุ่นและไรฝุ่นในบ้าน: ฝุ่นละอองและไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้เด็กที่พบบ่อยในบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่สะอาด หรือมีความชื้นสูง เช่น พื้นพรม ที่นอน หรือเครื่องนอนที่ไม่ได้ทำความสะอาดบ่อย ๆ สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ: เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ เชื้อรา สิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล อย่างฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งมีเกสรดอกไม้มาก การสัมผัสกับควันบุหรี่: เด็กที่อาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีการสูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาอาการภูมิแพ้เด็กและโรคหืด เนื่องจากควันบุหรี่เป็นสารระคายเคืองที่รุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจ การสัมผัสกับสารเคมี: การสัมผัสสารเคมีในชีวิตประจำวัน ทั้งน้ำหอม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือเครื่องสำอางต่างทำให้เกิดอาการแพ้ผิวหนังได้ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) เชื้อโรคและการติดเชื้อไวรัส: การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบ่อยครั้งในช่วงวัยเด็ก อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีการตอบสนองผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้เด็กในอนาคต อาหารและการเลี้ยงดูในวัยเด็ก: การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น นมวัว ไข่ ถั่วลิสง หรืออาหารทะเล อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ทางอาหาร นอกจากนี้ การหย่านมแม่เร็วเกินไป หรือการได้รับอาหารเสริมที่ไม่เหมาะสมในวัยเด็ก สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาอาการแพ้ได้ การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยครั้ง: มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไปในวัยเด็กอาจส่งผลต่อการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้เด็กได้ โรคภูมิแพ้เด็กที่พบได้บ่อยมีอะไรบ้าง? โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้เด็กเป็นโรคที่พบได้บ่อย สาเหตุหลักมาจากการแพ้สิ่งกระตุ้นในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และเชื้อรา อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ น้ำมูกไหล คันจมูก จาม และอาการคัดจมูก โดยเด็กที่เป็นโรคนี้มักจะมีอาการคันบริเวณจมูกและรอบ ๆ ดวงตา ซึ่งสามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการนอนหลับของเด็กได้ ส่วนใหญ่วิธีการรักษาอาการภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้ แพทย์จะใช้ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines) และสเปรย์ฉีดจมูกที่มีส่วนประกอบของยาสเตียรอยด์ นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ อย่างการลดฝุ่นในบ้านก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเช่นกัน โรคหืด (Asthma) โรคหืดเป็นอีกโรคภูมิแพ้เด็กที่พบบ่อยในเด็ก เกิดจากการอักเสบของทางเดินหายใจ ระบบทางเดินหายใจบวม หรือตีบแคบลงจนทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี๊ด ๆ และรู้สึกแน่นหน้าอก สารกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหืดอาจเป็นฝุ่นละออง ควันบุหรี่ หรือการติดเชื้อไวรัส อาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อเด็กออกกำลังกาย ช่วงกลางคืน ตอนเป็นหวัด หรือสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้โดยตรง อาการภูมิแพ้เด็กในกลุ่มนี้สามารถควบคุมได้โดยการใช้ยาขยายหลอดลม ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่น รวมถึงการหลีกเลี่ยงสารที่กระตุ้นอาการ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังหรือผื่นแพ้ (Eczema) เป็นโรคภูมิแพ้เด็กที่ส่งผลให้ผิวหนังแห้งและมีอาการคันมาก มักพบในเด็กเล็ก โดยผิวหนังจะเกิดอาการผื่นแดง บางครั้งมีน้ำเหลืองออกมา มีอาการเรื้อรัง โดยเฉพาะในบริเวณแก้ม ข้อพับ และข้อศอก อาการภูมิแพ้จะแย่ลงเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น สบู่หอม น้ำหอม หรือผงซักฟอก การรักษาภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ครีมสเตียรอยด์และครีมให้ความชุ่มชื้นกับผิว การอาบน้ำและใช้สบู่อ่อน ๆ รวมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองก็สามารถลดอาการภูมิแพ้เด็กได้เช่นกัน ผื่นลมพิษ (Urticaria) ผื่นลมพิษเป็นผื่นที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดอาการบวมแดงและคันทั่วร่างกาย เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งพบได้ทั้งในอาหารหรือยา อาการลมพิษสามารถหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหลายวัน แต่ในบางกรณีอาจเกิดขึ้นเรื้อรังได้ การรักษาอาการภูมิแพ้เด็กที่เป็นผื่นลมพิษ สามารถใช้ยาต้านฮีสตามีนช่วยบรรเทาอาการได้ และในกรณีที่ลมพิษรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์หรือยาอื่น ๆ ที่แพทย์แนะนำ เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis) เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้เกิดจากการแพ้สารที่สัมผัสกับเยื่อบุตา ทั้งฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ตาแดง คันตา น้ำตาไหล และอาการบวมรอบดวงตา บางครั้งอาจมีอาการร่วมกับโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ได้ การรักษาภูมิแพ้เด็กลักษณะนี้ แพทย์จะใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของยาต้านฮีสตามีนในการรักษา ควบคู่ไปกับการควบคุมให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่เป็นสาเหตุของภูมิแพ้ จะช่วยให้อาการของเด็กดีขึ้นได้ การทดสอบภูมิแพ้เด็กทำได้ไม่ยาก การทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวด้วยวิธีการสะกิด การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีการสะกิดผิว หรือที่เรียกว่า Skin Prick Test เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีความแม่นยำพอสมควรในเด็ก โดยแพทย์จะหยดสารที่เป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดภูมิแพ้เด็ก เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่นละออง หรืออาหารบางชนิด ลงบนผิวหนังของเด็ก จากนั้นจะใช้เข็มเล็ก ๆ ทำการสะกิดผิวหนังเบา ๆ ในบริเวณที่หยดสาร เพื่อให้สารสามารถแทรกเข้าไปสัมผัสกับเซลล์ผิวหนัง หากเด็กมีอาการแพ้ต่อสารดังกล่าว บริเวณที่ถูกสะกิดจะเกิดปฏิกิริยาคล้ายผื่นหรือตุ่มแดงขึ้นภายใน 15 ถึง 20 นาที วิธีนี้ใช้เวลาสั้นและเจ็บน้อย จึงเป็นวิธีที่นิยมใช้กับเด็ก การทดสอบภูมิแพ้ด้วยการตรวจเลือด วิธีการตรวจเลือดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้สำหรับการทดสอบภูมิแพ้เด็ก (Blood Test) โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถทำการทดสอบที่ผิวหนังได้ เช่น เด็กมีปัญหาผิวหนังเรื้อรัง หรือเด็กที่ไม่สามารถหยุดใช้ยาที่อาจมีผลต่อการทดสอบผิวหนังได้ การตรวจเลือดจะทำการวิเคราะห์หาปริมาณของสารภูมิคุ้มกัน IgE ในเลือด ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ หากพบปริมาณสาร IgE สูง แสดงว่าเด็กมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารที่ทำการทดสอบชนิดนั้นๆ การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีอื่น ๆ นอกจากการทดสอบที่ผิวหนังและการตรวจเลือดแล้ว ยังมีวิธีการทดสอบภูมิแพ้เด็กแบบอื่น ๆ ที่อาจนำมาใช้ตามความเหมาะสมกับอาการของเด็กได้ เช่น การทดสอบภูมิแพ้เด็กโดยการรับประทานหรือสูดดม (Oral or Inhalation Challenge Test) : เป็นการทดสอบโดยให้เด็กได้รับสารที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุของภูมิแพ้ผ่านการรับประทานหรือสูดดม โดยการทำการทดสอบนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงได้ การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีการแปะที่ผิวหนัง (Patch Test): วิธีนี้เหมาะสำหรับการทดสอบสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้แบบล่าช้า เช่น สารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือเครื่องสำอาง แพทย์จะนำสารที่สงสัยมาแปะไว้บนผิวหนังของเด็กประมาณ 48 ชั่วโมง แล้วทำการประเมินผลภูมิแพ้เด็กหลังจากนั้น วิธีป้องกันให้เด็กห่างไกลจากอาการภูมิแพ้เด็ก ลดปริมาณฝุ่นและไรฝุ่นในบ้าน: ทำความสะอาดบ้านบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่สะสมฝุ่น เช่น พรม โซฟา และเตียงนอน การใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพและการซักเครื่องนอนบ่อย ๆ ช่วยลดฝุ่นและไรฝุ่นได้ดี ใช้เครื่องฟอกอากาศ: เครื่องฟอกอากาศที่มีฟิลเตอร์ HEPA (High-Efficiency Particulate Air) สามารถช่วยกรองฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ และเชื้อราที่ลอยอยู่ในอากาศ ลดสารก่อภูมิแพ้เด็กในบ้าน หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ในบ้าน: หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติแพ้ขนสัตว์ ควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีขน อย่างสุนัขหรือแมว หรือหากมีสัตว์เลี้ยง ควรจำกัดให้พวกมันอยู่ในพื้นที่ที่เด็กไม่สัมผัสบ่อย หลีกเลี่ยงควันบุหรี่และมลพิษในบ้าน: ไม่ควรสูบบุหรี่ภายในบ้านหรือในบริเวณใกล้กับเด็ก เนื่องจากควันบุหรี่เป็นปัจจัยกระตุ้นที่รุนแรงของโรคภูมิแพ้เด็กและโรคหืด รักษาความชื้นในบ้าน : ควรรักษาความชื้นในบ้านให้ 40-60% RH โดยใช้เครื่องลดความชื้น เพื่อลดการเจริญเติบโตของเชื้อราและไรฝุ่น รักษาอาการภูมิแพ้เด็ก ภูมิแพ้เด็กในกลุ่มอาการแพ้จมูก แพ้อากาศ สามารถใช้วิธีล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ  การล้างจมูก ป้องกันโรคภูมิแพ้ วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ขวดล้างจมูก GHP Nasi CareNasal Washer ขวดขนาด 300 มล. ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com/th/article/1990-why_parents_should_know_about_allergybranchpyt2
อ่านเพิ่มเติม
ตุลาคม 15, 2024
ล้างจมูก คือ

ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (Nasal Irrigation) ลดโรค ปลอดเชื้อ วิธีป้องกันเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย

การล้างจมูก (Nasal Irrigation) คือกระบวนการทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยการใช้น้ำเกลือปราศจากเชื้อ (น้ำเกลือ isotonic ที่มีความเข้มข้น 0.9 เปอร์เซ็นต์) เพื่อขจัดสิ่งสกปรก เมือก และสารก่อภูมิแพ้ที่สะสมอยู่ในโพรงจมูก การล้างจมูกไม่เพียงแต่จำเป็นเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วยหรือเป็นโรคภูมิแพ้เท่านั้น แต่คนสุขภาพแข็งแรง ที่มีความต้องการที่จะดูแลจมูกทั้ง ผู้ใหญ่ และเด็กก็สามารถล้างจมูกได้เช่นกัน การล้างจมูกมีประโยชน์อย่างไร? 1.การขจัดสารระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ ในชีวิตประจำวัน โพรงจมูกของเรามีโอกาสสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ รวมถึงมลพิษต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ เมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่โพรงจมูกจะก่อให้เกิดอาการคัดจมูก จาม และน้ำมูกไหล มักพบในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ซึ่งการล้างจมูกจะล้างเอาสิ่งสกปรกและสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้ออกจากโพรงจมูก จึงช่วยลดอาการแพ้และทำให้หายใจสะดวกขึ้น 2.ลดการอักเสบของโพรงจมูกและไซนัส การล้างจมูกช่วยขจัดน้ำมูกและเมือกที่สะสมในโพรงจมูกและไซนัส เมือกที่สะสมเหล่านี้เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือช่วยล้างเมือกที่ค้างอยู่ ลดโอกาสการเกิดการอักเสบหรือไซนัสอักเสบได้ดี โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาไซนัสอักเสบเรื้อรัง 3.ส่งเสริมสุขอนามัยโพรงจมูก การล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นวิธีดูแลรักษาความสะอาดของโพรงจมูกที่ดี เมื่อทำเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหรือในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง การล้างจมูกจะช่วยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้สะสมในโพรงจมูก ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนได้ ทั้งเชื้อไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ 4.บรรเทาอาการคัดจมูกและหายใจติดขัด การคัดจมูกเกิดจากการสะสมของเมือกและการอักเสบของเยื่อบุจมูก ส่งผลให้ทางเดินหายใจอุดตันได้ง่าย ซึ่งการล้างจมูกจะช่วยระบายเมือกที่อุดตันในโพรงจมูกและลดอาการอักเสบ ทำให้โพรงจมูกโล่งขึ้นและสามารถหายใจได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการคัดจมูกจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคภูมิแพ้ 5.ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้โพรงจมูก ในบางกรณี อาทิ เมื่ออยู่ในสภาพอากาศแห้ง หรือใช้เครื่องปรับอากาศเป็นเวลานาน อาจทำให้โพรงจมูกแห้ง และก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเลือดกำเดาไหลได้ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้เยื่อบุโพรงจมูก ป้องกันการแห้งและบรรเทาอาการระคายเคืองในโพรงจมูก 6.ช่วยรักษาภาวะหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) และการนอนกรน ผู้ที่มีภาวะหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) หรือมีปัญหานอนกรน มักมีสาเหตุจากการอุดตันในโพรงจมูกหรือทางเดินหายใจ ดังนั้นการล้างจมูกจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น หายใจได้สะดวกขณะนอนหลับ ลดอาการนอนกรน และปรับปรุงคุณภาพการนอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7.การเตรียมจมูกก่อนการใช้ยาพ่นจมูก ผู้ที่ใช้ยาพ่นจมูก ทั้งกลุ่มยารักษาโรคภูมิแพ้หรือยารักษาไซนัส การล้างจมูกให้สะอาดก่อนการพ่นยาจะทำให้ยาที่พ่นสามารถออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น เนื่องจากยาสามารถสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกได้โดยตรงและกระจายไปทั่วโพรงจมูกได้ดียิ่งขึ้น 8.ลดการใช้ยาลดอาการคัดจมูก การล้างจมูกเป็นวิธีที่ลดอาการคัดจมูกที่นอกจากการพึ่งพายาในการบรรเทาอาการคัดจมูก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ยาพ่นจมูกหรือยาลดน้ำมูกบ่อย ๆ การล้างจมูกช่วยให้คุณสามารถควบคุมอาการได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยา รวมถึงลดความเสี่ยงจากการใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานได้อีกด้วย ใครที่บ้างที่ควรล้างจมูก ผู้ที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ผู้ที่มีอาการแพ้ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ จะมีการสะสมของสารเหล่านี้ในโพรงจมูก การล้างจมูกจะช่วยขจัดสารก่อภูมิแพ้ออกจากโพรงจมูก ทำให้อาการคัดจมูก จาม น้ำมูกไหลลดลง และรู้สึกสบายขึ้น ผู้ที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) ไซนัสอักเสบเป็นภาวะที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุโพรงไซนัสโพรงอากาศข้างจมูเกิดการอักเสบบวมจากการติดเชื้อ การล้างจมูกสามารถขจัดน้ำมูกที่สะสมในโพรงจมูกและไซนัส ซึ่งช่วยลดการอักเสบและช่วยระบายของเสียออกจากโพรงไซนัส ทำให้หายใจสะดวกขึ้น ผู้ที่เป็นโรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ การล้างจมูกสามารถลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือความอุดตันในโพรงจมูกที่มักเกิดขึ้นเมื่อเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ได้ ด้วยการขจัดเอาเชื้อโรคและเมือกที่เป็นแหล่งสะสมออกไป ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมาก สำหรับผู้ที่อาศัยหรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองหรือมลพิษทางอากาศ การล้างจมูกจะช่วยขจัดฝุ่นหรือสารมลพิษที่เข้าไปสะสมในโพรงจมูก ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการระคายเคืองหรืออักเสบในระบบทางเดินหายใจ ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดทางจมูก ผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดทางจมูก เช่น การผ่าตัดไซนัสหรือการผ่าตัดเนื้องอกในจมูก แพทย์อาจแนะนำให้ล้างจมูกเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและป้องกันการติดเชื้อหรือน้ำมูกสะสม ผู้ที่มีปัญหาการนอนกรนหรือนอนหลับไม่สนิท บางคนที่มีปัญหานอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอาจมีสาเหตุมาจากการอุดตันของทางเดินหายใจส่วนบน การล้างจมูกช่วยทำความสะอาดทางเดินหายใจและลดการอุดตัน ทำให้หายใจได้ดีขึ้นขณะนอนหลับ ผู้ที่มีอาการแห้งในโพรงจมูก ผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศที่แห้งหรือใช้เครื่องปรับอากาศเป็นประจำ มักมีปัญหาเรื่องจมูกแห้งหรือเยื่อบุจมูกแห้ง การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันการระคายเคืองในโพรงจมูก ผู้ที่มีอาการหายใจลำบาก บุคคลทั่วไปที่มีปัญหาการหายใจไม่สะดวก ไม่ว่าจะมีอาการคัดจมูกเรื้อรัง ป่วยเป็นหวัด หรือเป็นโรคหอบหืด ต่างได้รับประโยชน์จากการล้างจมูกทั้งสิ้น เพราะการล้างจมูกที่ถูกวิธีจะช่วยลดการอุดตันและเพิ่มการไหลเวียนของอากาศในโพรงจมูก ช่วยให้สามารถหายใจได้คล่องขึ้น อุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการล้างจมูก น้ำเกลือล้างจมูก การล้างจมูกที่ดีต่อสุขภาพ ควรต้องล้างด้วยน้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อ Isotonic sterile Saline Solution หรือสามารถทำน้ำเกลือเองได้ด้วยการผสมน้ำต้มสุก (ที่ปล่อยให้เย็น) กับเกลือบริสุทธิ์ (ไม่เจือสารอื่น) ในอัตราส่วนที่เหมาะสม (น้ำเกลือ 0.9 เปอร์เซ็นต์ Sodium Chloride)หรือ isotonic  เนื่องจากน้ำเกลือจะช่วยล้างเมือกและสิ่งสกปรกออกจากโพรงจมูกโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุโพรงจมูก ต่างกับน้ำเปล่าที่เพียงแค่ชะล้างสิ่งสกปรกบางส่วนออกไปเท่านั้น ขวดล้างจมูก ขวดล้างจมูกเป็นอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ล้างจมูกโดยเฉพาะ ซึ่งมีหัวจุกสำหรับปล่อยน้ำเกลือเข้าสู่โพรงจมูกได้ง่ายและแม่นยำ เช่น ขวดไซริงค์ หรืออุปกรณ์ล้างจมูกที่ใช้แรงดันอ่อน ๆ เป็นต้น ขั้นตอนการล้างจมูกที่ถูกต้อง เริ่มจากการล้างมือและขวดล้างจมูกให้สะอาด เทน้ำเกลือสำหรับล้างจมูกลงในขวดล้าง ประมาณ 10 ถึง 15 มิลลิลิตร สำหรับผู้ใหญ่ และปริมาณ 5 มิลลิลิตร สำหรับเด็ก จากนั้นให้โน้มตัวเหนืออ่างล้างหน้า ก้มหน้า สอดจุกจากขวดล้างเข้าไปในรูจมูกเล็กน้อย และค่อย ๆ ฉีดพ่นน้ำเกลือเข้ารูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง (กลั้นหายใจในขณะล้างจมูก) ซึ่งน้ำเกลือและสิ่งอุดตันในจมูกจะไหลออกจากรูจมูกทั้ง 2 ข้าง สั่งน้ำมูกที่ค้างอยู่ออกเบา ๆ บางคนอาจมีน้ำเกลือบางส่วนไหลออกมาทางปากให้บ้วนทิ้งด้วย ล้างจมูกด้วยวิธีเดิมในจมูกอีกข้างหนึ่ง และทำซ้ำสลับทั้งสองข้างจนรู้สึกหายใจโล่งขึ้น เมื่อล้างจมูกเสร็จแล้ว อย่าลืมล้างอุปกรณ์ทำความสะอาดทุกชิ้นด้วยน้ำเปล่าและผึ่งให้แห้ง การล้างจมูกมีอันตรายหรือไม่? การล้างจมูกสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและมีประโยชน์หากปฏิบัติอย่างถูกต้อง แต่หากทำไม่ถูกวิธีหรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด อาจเกิดความเสี่ยงหรือมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพร่างกายได้เหมือนกัน ดังนี้ การติดเชื้อ: หากใช้น้ำที่ไม่สะอาดหรือน้ำประปาที่ไม่ผ่านการกรองหรือฆ่าเชื้อล้างจมูก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในโพรงจมูกหรือไซนัส เนื่องจากเชื้อโรคในน้ำอาจเข้าสู่ร่างกาย การทำให้จมูกแห้งเกินไป: การล้างจมูกบ่อยเกินไปหรือใช้สารละลายที่มีความเข้มข้นไม่เหมาะสม เช่น สารละลายเกลือที่มีความเข้มข้นสูง อาจทำให้โพรงจมูกแห้งและเกิดการระคายเคือง อาการระคายเคืองหรือเจ็บในโพรงจมูก: การใช้อุปกรณ์ล้างจมูกที่อยู่ในกลุ่มแรงดันสูง ซึ่งในบ้างครั้งจะเกิดแรงดันสูงเกินไป หรืออุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมในการล้างจมูกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บในโพรงจมูกได้ น้ำเข้าหูชั้นกลาง: หากล้างจมูกด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง และใช้อุปกรณ์ล้างจมูกกลุ่มแรงดันสูง อาจทำให้น้ำซึมเข้าหูชั้นกลางผ่านท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือหูอื้อได้ ข้อควรระมัดระวังเมื่อล้างจมูก 1.ใช้น้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อ น้ำเกลือ: ควรใช้น้ำเกลือ Sodium Chloride 0.9 เปอร์เซ็นต์ ชนิดปราศจากเชื้อเท่านั้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนและไม่ระคายเคืองโพรงจมูก หลีกเลี่ยงน้ำเปล่า: ห้ามใช้น้ำประปาหรือสารละลายอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการแนะนำ เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการสำลักหรือแสบโพรงจมูก 2.ความดันน้ำเกลือ ไม่ควรฉีดที่ทำให้เกิดแรงดันสูง: ควรระมัดระวังไม่ให้ฉีดน้ำเกลือด้วยแรงมาก เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในโพรงจมูกหรือทำให้โพรงจมูกอักเสบได้ ควรฉีดที่ทำให้เกิดแรงดันน้อย: การฉีดน้ำเกลือควรทำอย่างช้า ๆ เพื่อให้กระบวนการล้างจมูกเป็นไปอย่างเรียบร้อยและปลอดภัย 3.วิธีการสั่งน้ำมูก สั่งน้ำมูกเบาๆ: ควรสั่งน้ำมูกและเช็ดจมูกเบา ๆ เพราะการสั่งน้ำมูกแรง ๆ อาจทำให้เกิดอาการหูอื้อหรือหูอักเสบได้ ไม่ควรอุดรูจมูก: ในขณะที่สั่งน้ำมูก ไม่ควรอุดรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ควรสั่งพร้อมกันทั้งสองข้างเพื่อป้องกันการเกิดความดันในหู 4.การใช้ยาพ่นหลังจากล้างจมูก รอให้แห้ง: หากต้องการใช้ยาพ่นหลังจากล้างจมูก ควรรอให้โพรงจมูกแห้งก่อนอย่างน้อย 3 ถึง 5 นาที เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นและลดโอกาสในการเกิดผลข้างเคียง 5.ความถี่ในการล้างจมูก ไม่ควรล้างบ่อยเกินไป: การล้างจมูกสามารถทำได้ตามความจำเป็น แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไป โดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้วันละ 2 ถึง 3 ครั้งเมื่อมีอาการคัดจมูกหรือรู้สึกไม่สบาย ฟังเสียงร่างกาย: หากรู้สึกไม่สบายหรือมีอาการผิดปกติหลังจากการล้างจมูก ควรหยุดและปรึกษาแพทย์   ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.sikarin.com/health/nasal-irrigation
อ่านเพิ่มเติม
กรกฎาคม 12, 2024
วิธีการล้างจมูกเพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้ อุปกรณ์การล้างจมูกที่แนะนำ

การล้างจมูก ป้องกันโรคภูมิแพ้ วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

การล้างจมูก ป้องกันโรคภูมิแพ้: วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ วิธีการล้างจมูก เพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้ เพิ่มคุณภาพชีวิต ช่วยลดอาการคัดจมูกและน้ำมูกไหล การล้างจมูกเป็นวิธีการหนึ่งที่ได้รับการยอมรับและแนะนำโดยแพทย์เพื่อช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือมีฝุ่นละอองและมลภาวะในอากาศสูง การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับประโยชน์และวิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือกัน ทำไมการล้างจมูกถึงช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ การล้างจมูกช่วยทำความสะอาดจมูกจากฝุ่นละออง สารก่อภูมิแพ้ และมลพิษที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นเหมาะสมกับการล้างจมูก โดยจะไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและช่วยล้างสิ่งสกปรกออกจากโพรงจมูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เป็นวิธีการที่ง่ายและสามารถทำได้เองที่บ้าน   ประโยชน์ของการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ลดอาการคัดจมูกและน้ำมูกไหล : น้ำเกลือ ช่วยลดการสะสมของน้ำมูกและสารก่อภูมิแพ้ในโพรงจมูก ทำให้อาการคัดจมูกและน้ำมูกไหลลดลง ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น: การล้างจมูกช่วยเปิดทางเดินหายใจ ทำให้หายใจสะดวกและรู้สึกสบายมากขึ้น ป้องกันการติดเชื้อ : น้ำเกลือช่วยล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคที่อาจเข้าสู่โพรงจมูก ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ   ขั้นตอนการล้างจมูก การเตรียมอุปกรณ์: จะต้องมี ขวดล้างจมูก ที่สะอาดและน้ำเกลือ ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาหรือร้านค้าออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ วิธีการล้างจมูก: เติมน้ำเกลือลงในขวดล้างจมูก ยืนหน้ากระจก และเอียงศีรษะเล็กน้อย สอดปลายขวดล้างจมูกเข้าไปในรูจมูกข้างหนึ่ง กดปุ่มให้น้ำเกลือไหลเข้าไปในจมูกอย่างช้า ๆ และให้น้ำไหลออกทางรูจมูกอีกข้างหนึ่ง สลับทำซ้ำกับรูจมูกอีกข้างหนึ่ง ระหว่างการล้างจมูก ควรหายใจทางปากเพื่อไม่ให้น้ำเกลือเข้าปาก คำแนะนำเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องสำหรับการเตรียมตัว   ควรล้างจมูกในช่วงเช้าหรือก่อนนอน  ควรใช้น้ำเกลือ ที่อุณหภูมิห้องหรือน้ำอุ่นเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย  หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยสำหรับการล้างจมูก   คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการล้างจมูก เพื่อให้การล้างจมูกมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรทำอย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามขั้นตอนที่แนะนำ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ GHP ไม่เพียงช่วยลดอาการภูมิแพ้แต่ยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของคุณให้ดีขึ้นด้วย   สรุป การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการป้องกันโรคภูมิแพ้ ช่วยลดอาการคัดจมูกและน้ำมูกไหล และทำให้หายใจสะดวกขึ้น การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้การล้างจมูกได้ผลดียิ่งขึ้น ลองเริ่มต้นดูแลสุขภาพจมูกของคุณด้วย น้ำเกลือGHP วันนี้ เพื่อชีวิตที่สุขภาพดีและปราศจากอาการภูมิแพ้
อ่านเพิ่มเติม
ตุลาคม 25, 2023
ผ้าอ้อมผู้ใหญ่

5 เคล็ดลับ การเลือก ผ้าอ้อมผู้ใหญ่

สำหรับผู้ที่กำลังมองหา ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ หรือ บางทีเพื่อคุณเอง วันนี้ GHP จะขอมาบอกเคล็ดลับ ในการเลือก ผ้าอ้อม  เพื่อให้ผู้ที่ใส่นั้นรู้สึกสบายต่อการใช้ในชีวิตประจำวัน   องค์ประกอบการตัดสินใจซื้อ 1. ควรเลือกประเภท ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ที่เหมาะกับผู้ใช้ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ มีหลายแบบ หลายขนาดที่แตกต่าง ร่วมถึงวิธีการสวมใส่ ดังนั้นเราควรพิจารณาขนาดที่เหมาะสมกับผู้ที่จะใช้งาน แนะนำให้เลือกขนาดที่สามารถปรับขนาดได้ เพื่อความสะดวกสบาย 2. พิจารณาคุณสมบัติของ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ความสามารถในการซึบซับของเหลว ที่ต้องได้รับมาตรฐาน หรือ ประเภทของผ้าอ้อมที่คุณชื่นชอบ แต่หากคุณต้องการผ้าอ้อมสำหรับการใช้งานประจำ ก็อาจจะต้องพิจารณา ปริมาณความจุ การรั่วซึม การไหลย้อนกลับ ป้องกันการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และ การใช้งาน 3. การเลือก ผ้าอ้อมที่ มีวัสดุที่เหมาะสม ป้องกันการระคายเคืองผิว ผ้าอ้อมมีให้ในหลายวัสดุ เช่น ผ้า, ไนลอน, หรือผ้าไมโครไฟเบอร์ ซึ่งต้องเป็นวัสดุที่อ่อนโยน เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกสบายและใช้งานได้ง่าย 4. ความสะดวกสบายในการใช้งาน อย่าลืมความสะดวกสบาย สามารถที่จะระบายอากาศได้ดี เป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา 5. ความคุ้มค่าของราคา ประเด็นนี้ คุณอาจต้องพิจารณางบประมาณของคุณด้วย แต่อย่าลืมว่าผ้าอ้อมที่คุณเลือกควรเป็นคุณภาพด้วย   สรุปการตัดสินใจซื้อ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ จากที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นถือว่าเป็นขั้นตอนเบื้องต้นในการเลือกใช้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่จะซื้อและมอบให้คนที่คุณรัก แต่จะต้องคำนึกถึงปัจจัยที่กล่าวมา เพื่อให้เหมาะสมกับผู้สวมใส่   อ้างอิง
agingcare.com parentgiving.com  
อ่านเพิ่มเติม
ตุลาคม 5, 2023

สารอาหารในหัวปลี ประโยชน์สำหรับมารดาที่ให้นมลูก

ประโยชน์ของหัวปลี หัวปลีเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการผลิตน้ำนมในมารดาหลังคลอดทารก
การให้นมบุตรของคุณแม่หลังคลอดทารกเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากนมแม่มีสารอาหารและสารประกอบที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาของทารกในช่วงเด็กแรกเกิด ในบทความนี้เราจะพูดถึงความสำคัญของการให้นมแม่และวิธีที่หัวปลีสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมในระหว่างระยะเวลานี้   คุณแม่และทารกมีความเชื่อมโยงที่สำคัญผ่านการให้นมจากแม่ น้ำนมแม่ไม่เพียงแต่เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ยังสำคัญในการสร้างความผูกพันธ์ระหว่างแม่และลูก เรามาพูดถึงสารอาหารที่มีอยู่ในน้ำนมแม่และสารอาหารหัวปลีที่ช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมในแม่ให้เพียงพอสำหรับทารกในระหว่างช่วงเวลานี้:   สารอาหารในหัวปลี 1.โปรตีน: นมแม่มีโปรตีนที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของทารก เป็นสารอาหารที่ช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ หัวปลีมีโปรตีนคุณภาพสูงที่ช่วยให้นมแม่มีความหลากหลายของกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของทารก   2.ไลฟิโคลิน: สารนี้มีประโยชน์ในการสร้างภูมิต้านทานในทารก ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆ ซึ่งนมแม่มีไลฟิโคลินในปริมาณมาก และหัวปลีเสริมการสร้างไลฟิโคลินนี้ให้มากขึ้น   3.คาร์โบไฮเดรต: คาร์โบไฮเดรตในนมแม่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มพลังงานแก่แม่และทารก คาร์โบไฮเดรตในหัวปลีช่วยให้นมแม่มีพลังงานเพียงพอในระหว่างช่วงการให้นม   4.ไขมัน: ไขมันในนมแม่มีความสำคัญในการพัฒนาสมองของทารก และใช้เป็นแหล่งพลังงาน เช่นกัน หัวปลีเสริมการให้นมแม่มีไขมันที่มีคุณค่าสูง เช่น กรดไขมันอิ่มตัวไม่อิ่มตัวเช่น กรดไขมันโอเมก้า-3   5.วิตามินและแร่ธาตุ: นมแม่มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ที่สำคัญในการพัฒนาร่างกายของทารก หัวปลีสามารถเสริมการให้นมแม่ด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญเหล่านี้   สรุป นอกจากนี้หัวปลียังเป็นแหล่งของสารสำคัญเช่น กรดไฮโดรซีเนติค ที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมในแม่ และช่วยให้ทารกได้รับน้ำนมเพียงพอตามความต้องการของตัวเอง เป็นที่ทราบดี การให้นมแม่หลังคลอดทารกเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทารกได้รับสารอาหารที่สำคัญสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนา หัวปลี เป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงและมีสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมในแม่ ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าในช่วงนี้ เพื่อให้นมแม่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของทารกและสุขภาพของแม่ด้วยเช่นกัน.
อ่านเพิ่มเติม
กันยายน 25, 2023

ผู้สูงอายุกับอาการภาวะกลั้นปัสสาวะ

การพักผ่อนและความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ แต่ทว่ามีภาวะที่รุนแรงอาจเข้ามาขัดขวางคุณภาพชีวิตของพวกเขา  ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นในคนสูงอายุ เมื่อพูดถึงปัญหาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สามารถพบได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่จะพบในวัยผู้สูงอายุ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย ภาวะนี้อาจทำให้ผู้ที่ดูแลจะต้องเผชิญกับความลำบากในการรักษาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ   ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีได้หลายสาเหตุที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานหย่อนตัวซึ่งจะพบได้บ่อยในเพศหญิง การที่หูรูดท่อปัสสาวะรัดตัวไม่ดี หรือภายหลังจากการผ่าตัดในระบบทางเดินปัสสาวะ กล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวมากผิดปกติ อันเนื่องมาจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะเอง เช่นมีเนื้องอก การที่พบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือ มาจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคพาร์กินสัน โรคสมองเสื่อม ทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวกว่าปกติ ภาวะที่ผู้สูงวัยมีปัสสาวะเล็ดออกมา อาจเกิดจากสาเหตุทางกายภาพเช่น ภาวะต่อมลูกหากโต ภาวะกระเพาะปัสสาวะหย่อน หรือ จากที่กระเพาะปัสสาวะไม่บีบตัวอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพของโรค เช่น โรคเบาหวาน ภาวะไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น ทำให้เกิดปัสสาวะคั่งค้าง และล้นออกมา ภาวะกลั้นไม่อยู่เนื่องจากข้อจำกัดของร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสิ่งแวดล้อม หรือเป็นผู้มีความบกพร้องของการรับรู้ทำให้ไม่สามารถไปเข้าห้องน้ำได้และเกิดปัสสาวะราดออกมาโดยไม่มีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ แต่เกิดจากสภาะสมองเสื่อมชนิดรุนแรง ความผิดปกติของระบบประสาท โรคหลอดเลือดสมอง หรือ ภาวะซึมเศร้าเป็นต้น   ภาวะกลั้นปัสสาวะ ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่สามารถทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกขาดความสบายและลำบากในชีวิตประจำวัน เริ่มมีกิจกรรมภายนอกบ้านลดลง  อาจทำให้พวกเขาต้องยึดติดกับบ้าน และมีความกังวลในการออกจากบ้าน เพื่อป้องกันความไม่สบาย นอกจากนี้ เสี่ยงต่อการเกิดการพลัดตกหกล้ม เพราะผู้สูงอายุจะต้องรีบเร่งไปเข้าห้องน้ำ  ขณะเดียวกันบางรายอาจมีความรู้สึกคุณค่าตัวเองลดลง ร่วมกับมีภาวะเครียด อาจจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าได้   แนวทางการดูแล สำหรับผู้สูงอายุที่เผชิญกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การดูแลรักษาผู้สูงวัยโดยการไม่ใช้ยา เช่น การให้คำแนะนำ การสอน การปรับพฤติกรรมต่าง กำหนดให้ผู้สูงวัยเข้าห้องน้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อกำหนดให้ขับถ่ายเป็นเวลา ฝึกกลั้นปัสสาวะเพื่อให้รู้สึกว่าถ้าต้องปัสสาวะต้องไปทันที่ที่รู้สึกปวด หากในกรณีที่จำเป็นจะต้องสวมใส่ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ก็เป็นแนวทางดูแลได้อีกทาง นอกจากนี้ การสนับสนุนจากครอบครัวและผู้ดูแลมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผ้าอ้อมผู้ใหญ่  ก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยดูแลผู้สูงวัย ในกรณีที่มีอาการปัญหาเรื่องการขับถ่าย     อ้างอิง สมทรง จิระวรานันท์ และ จุฬาลักษณ์ ใจแปง บทความวิชาการ ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ในผู้สูงอายุ : บทบาทพยาบาล  นิตยา จันทบุตร และคณะ. (2651). ความชุกของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ของผู้สูงอายุในชุมชน.การประชุม                             วิชาการและน าเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ราชธานีวิชาการ ครั้งที่ 3                             “นวัตกรรมที่พลิกโฉมสังคมโลก” อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชธานี วิชัย เอกพลากร. (บรรณาธิการ).(2559). การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557.นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.  
อ่านเพิ่มเติม
มิถุนายน 29, 2023
น้ำเกลือล้างแผล GHP

น้ำเกลือล้างแผล normal saline คืออะไร ทำไมถึงนิยมใช้ล้างแผล

น้ำเกลือล้างแผล หรือ  น้ำเกลือปราศจากเชื้อ(Normal saline solution หรือ NSS 0.9% ) ประกอบด้วย สารละลายโซเดียมคลอไรด์ (Sodium Chloride หรือ Nacl) ที่มีความเข้มข้นอยู่ที่  0.9% ซึ่งเป็นสารละลายไอโซโทนิก (Isotonic solution) คือมีความเข้มข้นเท่ากับสารละลายภายในเซลล์ร่างกาย หากเกิดบาดแผลบนผิวหนังแล้วมีการชำระล้างลงที่บาดแผลทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกระคายเคืองหรือ แสบ บริเวณที่เกิดบาดแผลอีกทั้งน้ำเกลือยังไม่ทำลายเนื้อเยื่อเหมือนตอนล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ เหมาะสำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุไม่รุนแรง เช่น หกล้ม มีแผลถลอก หรือมีของมีคมบาดแต่ไม่ลึก และการล้างแผลด้วยน้ำเกลือยังช่วยชำระล้างสิ่งแปลกปลอมและลดการติดเชื้อจากแบคทีเรียอีกด้วย   ขั้นตอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากมี ก่อนที่จะทำความสะอาดบาดแผล ควรล้างมือให้เรียบร้อย นั่งในท่าที่ผ่อนคลายหรือสะดวกต่อการล้างบาดแผล ชำระล้างสิ่งสกปรกจากแผลด้วยการใช้ น้ำเกลือ (normal saline) ค่อยๆราดให้น้ำเกลือไหลผ่านบนบาดแผล จากนั้นก็ให้ผ้าก๊อซ ซับแผลให้แห้ง โดยไม่ห้ามใช้สำลีเช็ดที่แผลโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจจะมีเส้นใยของสำลีตกค้างอยู่ที่แผลได้ จากนั้นก็ใช้ผ้าก๊อซเช็ดบริเวณรอบๆบาดแผลให้สะอาดสำหรับในการที่จะปิดบาดแผล     แต่อย่างไรก็ตามหากบาดแผลนั้นมีพบว่ามีเลือดยังคงซึมออกมา  แนะนำให้ไปรับการรักษาจากแพทย์  
อ่านเพิ่มเติม
เมษายน 20, 2023
ฮีทสโตรก

ฮีทสโตรก คือ โรคลมแดด เป็นภัยร้ายในหน้าร้อน

ฮีทสโตรก คือ โรคลมแดด เป็นภัยร้ายในหน้าร้อน ฮีทสโตรก (Heatstroke) เป็นภาวะที่เกิดจากร่างกายมีอุณหภูมิความร้อนที่มากเกินไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในบุคคลทุกเพศทุกวัย แต่เป็นพิเศษในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก หรือกลุ่มที่ทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน อาการ ฮีทสโตรกมีหลายอย่าง ได้แก่ อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย มีความร้อนขึ้นสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส มีอาการชา หน้ามืด เจ็บหัว เหงื่อออก มีความจำเป็นต้องอาบน้ำเย็น หรือล้มเป็นลม วิธีการดูแลฮีทสโตรก ได้แก่ 1.หยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ และเข้าร่วมกิจกรรมใหม่เมื่อร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงกลับมา 2.ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำแร่เพื่อเติมความชื้นให้กับร่างกาย 3.หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนเป็นเวลานานๆ 4.สวมเสื้อผ้าที่อากาศไหม้ไม่ได้และมีระบบระบายอากาศดี 5.ล้างด้วยน้ำเย็นหรืออาบน้ำเย็น 6.พักผ่อนให้เพียงพอ และอยู่ในที่ร่มรื่น   หากมีอาการที่รุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะที่รุนแรงขึ้นได้
อ่านเพิ่มเติม