Published by Neyseo at ตุลาคม 18, 2024 ภูมิแพ้เด็กหรือโรคภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นในเด็ก หมายถึง ปฏิกิริยาผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของเด็กที่ตอบสนองต่อสารบางชนิดที่ปกติไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารเหล่านี้เรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) เมื่อเด็กที่มีภาวะภูมิแพ้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองรุนแรงกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการแพ้ตามมา ซึ่งอาการแพ้สามารถเกิดขึ้นที่ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินหายใจ ทางผิวหนัง หรือระบบลำไส้ โดยทั่วไปแล้ว อาการแพ้มักเกิดขึ้นในวัยเด็กและอาจดำเนินไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้เด็ก
ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม
ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงที่เด็กจะมีอาการภูมิแพ้ หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติการแพ้ เด็กจะมีโอกาสสูงขึ้นที่จะเป็นภูมิแพ้เด็กด้วย โดยปัจจัยพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ประวัติภูมิแพ้ครอบครัวในปัจจัยทางด้านพันธุกรรม: หากพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งมีอาการภูมิแพ้ เด็กจะมีโอกาสประมาณ 20 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเป็นภูมิแพ้เด็ก แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่มีอาการภูมิแพ้ ความเสี่ยงของเด็กจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 50 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์
การส่งต่อชนิดโรคภูมิแพ้มาจากปัจจัยด้านพันธุกรรม: ประเภทของภูมิแพ้ที่ของปัจจัยด้านพันธุกรรมอาจส่งผลต่อชนิดของโรคภูมิแพ้ที่เด็กจะเป็น เช่น หากพ่อแม่เป็นโรคหืด หรือโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ เด็กมีโอกาสสูงที่จะเป็นมีอาการภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้เช่นกัน
ยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน: การตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดผ่านยีน ยีนที่ควบคุมการผลิต IgE ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภูมิแพ้ ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกได้เช่นกัน
ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าปัจจัยทางพันธุกรรมจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมก็มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นหรือทำให้เกิดอาการภูมิแพ้เด็กได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในกรณีที่เด็กมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมอยู่แล้ว ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อภูมิแพ้เด็ก ได้แก่
มลพิษในอากาศ: การอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง เช่น ควันบุหรี่ ควันจากรถยนต์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ทางเดินหายใจ และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหืด
ฝุ่นและไรฝุ่นในบ้าน: ฝุ่นละอองและไรฝุ่นเป็นสารก่อภูมิแพ้เด็กที่พบบ่อยในบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่สะอาด หรือมีความชื้นสูง เช่น พื้นพรม ที่นอน หรือเครื่องนอนที่ไม่ได้ทำความสะอาดบ่อย ๆ
สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ: เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ เชื้อรา สิ่งเหล่านี้สามารถพบได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล อย่างฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งมีเกสรดอกไม้มาก
การสัมผัสกับควันบุหรี่: เด็กที่อาศัยอยู่ในครอบครัวที่มีการสูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาอาการภูมิแพ้เด็กและโรคหืด เนื่องจากควันบุหรี่เป็นสารระคายเคืองที่รุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจ
การสัมผัสกับสารเคมี: การสัมผัสสารเคมีในชีวิตประจำวัน ทั้งน้ำหอม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือเครื่องสำอางต่างทำให้เกิดอาการแพ้ผิวหนังได้ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema)
เชื้อโรคและการติดเชื้อไวรัส: การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบ่อยครั้งในช่วงวัยเด็ก อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันมีการตอบสนองผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้เด็กในอนาคต
อาหารและการเลี้ยงดูในวัยเด็ก: การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น นมวัว ไข่ ถั่วลิสง หรืออาหารทะเล อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ทางอาหาร นอกจากนี้ การหย่านมแม่เร็วเกินไป หรือการได้รับอาหารเสริมที่ไม่เหมาะสมในวัยเด็ก สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาอาการแพ้ได้
การใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยครั้ง: มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไปในวัยเด็กอาจส่งผลต่อการพัฒนาของระบบภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้เด็กได้
โรคภูมิแพ้เด็กที่พบได้บ่อยมีอะไรบ้าง?
โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)
โรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้เด็กเป็นโรคที่พบได้บ่อย สาเหตุหลักมาจากการแพ้สิ่งกระตุ้นในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และเชื้อรา อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ น้ำมูกไหล คันจมูก จาม และอาการคัดจมูก โดยเด็กที่เป็นโรคนี้มักจะมีอาการคันบริเวณจมูกและรอบ ๆ ดวงตา ซึ่งสามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการนอนหลับของเด็กได้ ส่วนใหญ่วิธีการรักษาอาการภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้ แพทย์จะใช้ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines) และสเปรย์ฉีดจมูกที่มีส่วนประกอบของยาสเตียรอยด์ นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ อย่างการลดฝุ่นในบ้านก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเช่นกัน
โรคหืด (Asthma)
โรคหืดเป็นอีกโรคภูมิแพ้เด็กที่พบบ่อยในเด็ก เกิดจากการอักเสบของทางเดินหายใจ ระบบทางเดินหายใจบวม หรือตีบแคบลงจนทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก หายใจมีเสียงวี๊ด ๆ และรู้สึกแน่นหน้าอก สารกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการหืดอาจเป็นฝุ่นละออง ควันบุหรี่ หรือการติดเชื้อไวรัส อาการจะรุนแรงขึ้นเมื่อเด็กออกกำลังกาย ช่วงกลางคืน ตอนเป็นหวัด หรือสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้โดยตรง อาการภูมิแพ้เด็กในกลุ่มนี้สามารถควบคุมได้โดยการใช้ยาขยายหลอดลม ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่น รวมถึงการหลีกเลี่ยงสารที่กระตุ้นอาการ
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)
ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังหรือผื่นแพ้ (Eczema) เป็นโรคภูมิแพ้เด็กที่ส่งผลให้ผิวหนังแห้งและมีอาการคันมาก มักพบในเด็กเล็ก โดยผิวหนังจะเกิดอาการผื่นแดง บางครั้งมีน้ำเหลืองออกมา มีอาการเรื้อรัง โดยเฉพาะในบริเวณแก้ม ข้อพับ และข้อศอก อาการภูมิแพ้จะแย่ลงเมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น สบู่หอม น้ำหอม หรือผงซักฟอก การรักษาภูมิแพ้เด็กกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ครีมสเตียรอยด์และครีมให้ความชุ่มชื้นกับผิว การอาบน้ำและใช้สบู่อ่อน ๆ รวมถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ผิวหนังระคายเคืองก็สามารถลดอาการภูมิแพ้เด็กได้เช่นกัน
ผื่นลมพิษ (Urticaria)
ผื่นลมพิษเป็นผื่นที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดอาการบวมแดงและคันทั่วร่างกาย เกิดจากการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งพบได้ทั้งในอาหารหรือยา อาการลมพิษสามารถหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหลายวัน แต่ในบางกรณีอาจเกิดขึ้นเรื้อรังได้ การรักษาอาการภูมิแพ้เด็กที่เป็นผื่นลมพิษ สามารถใช้ยาต้านฮีสตามีนช่วยบรรเทาอาการได้ และในกรณีที่ลมพิษรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์หรือยาอื่น ๆ ที่แพทย์แนะนำ
เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis)
เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้เกิดจากการแพ้สารที่สัมผัสกับเยื่อบุตา ทั้งฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ตาแดง คันตา น้ำตาไหล และอาการบวมรอบดวงตา บางครั้งอาจมีอาการร่วมกับโรคเยื่อบุจมูกอักเสบภูมิแพ้ได้ การรักษาภูมิแพ้เด็กลักษณะนี้ แพทย์จะใช้ยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของยาต้านฮีสตามีนในการรักษา ควบคู่ไปกับการควบคุมให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารที่เป็นสาเหตุของภูมิแพ้ จะช่วยให้อาการของเด็กดีขึ้นได้
การทดสอบภูมิแพ้เด็กทำได้ไม่ยาก
การทดสอบภูมิแพ้ที่ผิวด้วยวิธีการสะกิด
การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีการสะกิดผิว หรือที่เรียกว่า Skin Prick Test เป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีความแม่นยำพอสมควรในเด็ก โดยแพทย์จะหยดสารที่เป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดภูมิแพ้เด็ก เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่นละออง หรืออาหารบางชนิด ลงบนผิวหนังของเด็ก จากนั้นจะใช้เข็มเล็ก ๆ ทำการสะกิดผิวหนังเบา ๆ ในบริเวณที่หยดสาร เพื่อให้สารสามารถแทรกเข้าไปสัมผัสกับเซลล์ผิวหนัง หากเด็กมีอาการแพ้ต่อสารดังกล่าว บริเวณที่ถูกสะกิดจะเกิดปฏิกิริยาคล้ายผื่นหรือตุ่มแดงขึ้นภายใน 15 ถึง 20 นาที วิธีนี้ใช้เวลาสั้นและเจ็บน้อย จึงเป็นวิธีที่นิยมใช้กับเด็ก
การทดสอบภูมิแพ้ด้วยการตรวจเลือด
วิธีการตรวจเลือดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้สำหรับการทดสอบภูมิแพ้เด็ก (Blood Test) โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถทำการทดสอบที่ผิวหนังได้ เช่น เด็กมีปัญหาผิวหนังเรื้อรัง หรือเด็กที่ไม่สามารถหยุดใช้ยาที่อาจมีผลต่อการทดสอบผิวหนังได้ การตรวจเลือดจะทำการวิเคราะห์หาปริมาณของสารภูมิคุ้มกัน IgE ในเลือด ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ หากพบปริมาณสาร IgE สูง แสดงว่าเด็กมีปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อสารที่ทำการทดสอบชนิดนั้นๆ
การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีอื่น ๆ
นอกจากการทดสอบที่ผิวหนังและการตรวจเลือดแล้ว ยังมีวิธีการทดสอบภูมิแพ้เด็กแบบอื่น ๆ ที่อาจนำมาใช้ตามความเหมาะสมกับอาการของเด็กได้ เช่น
การทดสอบภูมิแพ้เด็กโดยการรับประทานหรือสูดดม (Oral or Inhalation Challenge Test) : เป็นการทดสอบโดยให้เด็กได้รับสารที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุของภูมิแพ้ผ่านการรับประทานหรือสูดดม โดยการทำการทดสอบนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงได้
การทดสอบภูมิแพ้เด็กด้วยวิธีการแปะที่ผิวหนัง (Patch Test): วิธีนี้เหมาะสำหรับการทดสอบสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้แบบล่าช้า เช่น สารเคมีที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือเครื่องสำอาง แพทย์จะนำสารที่สงสัยมาแปะไว้บนผิวหนังของเด็กประมาณ 48 ชั่วโมง แล้วทำการประเมินผลภูมิแพ้เด็กหลังจากนั้น
วิธีป้องกันให้เด็กห่างไกลจากอาการภูมิแพ้เด็ก
ลดปริมาณฝุ่นและไรฝุ่นในบ้าน: ทำความสะอาดบ้านบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่สะสมฝุ่น เช่น พรม โซฟา และเตียงนอน การใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพและการซักเครื่องนอนบ่อย ๆ ช่วยลดฝุ่นและไรฝุ่นได้ดี
ใช้เครื่องฟอกอากาศ: เครื่องฟอกอากาศที่มีฟิลเตอร์ HEPA (High-Efficiency Particulate Air) สามารถช่วยกรองฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ และเชื้อราที่ลอยอยู่ในอากาศ ลดสารก่อภูมิแพ้เด็กในบ้าน
หลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์ในบ้าน: หากสมาชิกในครอบครัวมีประวัติแพ้ขนสัตว์ ควรหลีกเลี่ยงการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่มีขน อย่างสุนัขหรือแมว หรือหากมีสัตว์เลี้ยง ควรจำกัดให้พวกมันอยู่ในพื้นที่ที่เด็กไม่สัมผัสบ่อย
หลีกเลี่ยงควันบุหรี่และมลพิษในบ้าน: ไม่ควรสูบบุหรี่ภายในบ้านหรือในบริเวณใกล้กับเด็ก เนื่องจากควันบุหรี่เป็นปัจจัยกระตุ้นที่รุนแรงของโรคภูมิแพ้เด็กและโรคหืด
รักษาความชื้นในบ้าน : ควรรักษาความชื้นในบ้านให้ 40-60% RH โดยใช้เครื่องลดความชื้น เพื่อลดการเจริญเติบโตของเชื้อราและไรฝุ่น
รักษาอาการภูมิแพ้เด็ก
ภูมิแพ้เด็กในกลุ่มอาการแพ้จมูก แพ้อากาศ สามารถใช้วิธีล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
การล้างจมูก ป้องกันโรคภูมิแพ้ วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
ขวดล้างจมูก GHP Nasi CareNasal Washer ขวดขนาด 300 มล.
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com/th/article/1990-why_parents_should_know_about_allergybranchpyt2
อ่านเพิ่มเติม